วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สิมิลันทะเลใต้

ชอบเที่ยวไทย :: "สิมิลัน"เกาะสวรรค์อันสุดสวย

หาดทราย และหินเรือใบอันโดดเด่นแห่งเกาะแปด
       “พี่ มีทะเลที่ไหนแนะนำบ้าง หนูว่าจะลาพักร้อนไปเที่ยวช่วงเมษานี้” น้องคนหนึ่งถามผมมา
      
        “ สิมิลัน ” ผมตอบเธอในทันทีอย่างไม่เวิ่นเว้อลังเล
      
       เพราะสำหรับผมแล้ว สิมิลันคือเกาะสวรรค์ในดวงใจที่ไปเที่ยวกี่ทีก็ไม่มีเบื่อเลยสักครั้ง...
      
        1… 
      
       ในบรรดาหมู่เกาะ ทะเลไทยสวยๆงามๆทั้งหลาย ผมยกให้“หมู่เกาะสิมิลัน” แห่งทะเลอันดามัน จ.พังงา มาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะนอกจากหมู่เกาะแห่งนี้จะงดงามปานแดนสวรรค์แล้ว ผมยังมีความทรงจำดีๆที่หมู่เกาะแห่งนี้มากมาย โดยเฉพาะในการเยือนสิมิลันครั้งแรกสมัยเป็นนักศึกษา ซึ่งเป็นยุคที่ผมมักจะเป็นโรค “ ไม่มีตังค์แต่ดันทุรังอยากเที่ยว ” และ นั่นก็ทำให้ผมและเพื่อนๆรวม 6 คน ดันทุรังไปเที่ยวสิมิลันแบบซำเหมาไปตายเอาดาบหน้า มีเงินแค่จ่ายค่าเรือเที่ยวเกาะเฉพาะขาไป แต่ขากลับไม่มีสตางค์พอจ่ายค่าเรือแบบครบคน(เนื่องจากช่วงขาไปถูกโกง) จำเป็นต้อง(หน้าด้าน)ขออาศัยเรือของคนอื่นกลับมาแบบขอจ่ายเงินทั้งหมดเท่า ที่มีติดตัวทุกคนอยู่รวมแล้วประมาณ 3 พันบาท
      
       แต่ประทานโทษ!!! ทริปนี้ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นพวกผมสามารถโบก(ขออาศัย)“เรือรบหลวงสิมิลัน” เดินทางกลับขึ้นฝั่งที่ภูเก็ต(ฟรี)ได้อย่างเหลือเชื่อและสุดแสนประทับใจใน น้ำมิตรไมตรีที่เหล่าพี่ทหารเรือหยิบยื่นให้
      
        เรื่องนี้เวลาเล่าให้ใครฟัง มีทั้งคนที่ไม่เชื่อและคนที่อิจฉา
หาดหน้า เกาะสี่
       นั่น เป็นเรื่องราวเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งการกลับไปเยือนสิมิลันหนหลังสุดนั้น แม้ความประทับใจที่ประสบพบเจอจะเทียบไม่ได้กับความทรงจำอันแสนเหลือเชื่อใน ครั้งแรก แต่สิ่งที่ดูแล้วแทบไม่แตกต่างไปจากอดีตก็คือ หมู่เกาะแห่งนี้ยังดูงดงามและบริสุทธิ์ไม่สร่างซา สมกับเป็นหมู่เกาะในดวงใจที่แม้นานๆจะได้มีโอกาสไปเยือนสักหน แต่ในทุกครั้งที่ไปเยือน ความงามบวกกับบรรยากาศที่พานพบและผูกพัน ต่างไม่เคยสร้างความผิดหวังให้เลยสักครั้ง
      
        2... 
      
       จากข้อมูลทั่วไประบุว่า คำว่า"สิมิลัน"เป็นภาษายาวีหมายถึง เกาะทั้ง 9
      
       เดิมหมู่เกาะสิมิลันประกอบด้วยเกาะ 9 เกาะ คือ เกาะหนึ่ง(หูหยง) เกาะสอง(ปายัง) เกาะสาม(ปาหยัน) เกาะสี่(เมียง) เกาะห้า เกาะหก(ปายู) เกาะเจ็ด(หินปูซาร์) เกาะแปด(สิมิลัน) และเกาะเก้า(บางู)
ที่พักกางเต็นท์บนเกาะสี่
       กระทั่ง เมื่อไม่นานมานี้ทางกรมอุทยานฯได้ผนวกรวมเกาะตาชัยและเกาะบอนที่อยู่ในน่าน น้ำละแวกเดียวกันเพิ่มเข้าไปอีก 2 เกาะ ทำให้หมู่เกาะสิมิลันปัจจุบันมี 11 เกาะด้วยกัน
      
       สำหรับผู้ที่มาเที่ยวสิมิลันและพักค้าง ทางอุทยานฯเขามีที่พักจัดไว้ให้บนเกาะเมียงหรือเกาะสี่ทั้งบ้านพักและที่กาง เต็นท์แบบจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว
      
       เกาะสี่ เป็นเกาะใหญ่อันดับสองของหมู่เกาะสิมิลันนอกจากมีที่พักแล้ว ยังเป็นเกาะที่มีแหล่งน้ำจืดค่อนข้างสมบูรณ์ เป็นเกาะที่ตั้งของที่ทำการอุทยานฯสิมิลัน-ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆตามความเหมาะสมกับสภาพการ อยู่เกาะที่ไกลจากแผ่นดินใหญ่อยู่มากโขร่วม 70 กม.
เวิ้งโค้งอ่าว เกาะหน้า
       นอกจากเป็นเกาะที่พักแล้ว เกาะสี่ยังเป็นเกาะท่องเที่ยวที่น่าสัมผัสไปด้วยทรัพยากรอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หาดหน้า" ที่ น่าเดินไปด้วยผืนทรายขาวละเอียดย่ำแน่นนุ่มเท้า น่าเล่นน้ำไปด้วยท้องน้ำที่ใสแจ๋วแหววมองเห็นปลาแหวกว่าย มีแนวปะการังกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ครั้งหนึ่งผมเคยเจอเจ้าปลาไหลเมอเร่ย์ว่ายมาทักทาย แม้เพียงแค่มาดำสน็อกเกิ้ลเล่นเท่านั้น ส่วนในการไปเที่ยวครั้งที่ผ่านมา ผมได้พบกับเจ้าเต่าทะเลตัวย่อมออกมาโชว์ตัวแหวกว่ายเล่นน้ำแบบแสน เชื่องกระไรปานนั้น
      
       จากหาดหน้าหากเดินตัดป่าไปอีกฟากหนึ่งของเกาะสี่ จะเป็น “ หาดเล็ก ” ที่แม้ขนาดและความงามอาจจะเป็นรองหาดหน้า แต่ว่าก็ได้เปรียบในเรื่องของความสงบเป็นส่วนตัวเข้ามาทดแทน
มุมชิงช้าบนเกาะสี่
       เสน่ห์ ของเกาะสี่ยังไม่หมดแค่นี้ ที่นี่ยังมีจุดชมวิวลานข้าหลวงให้ขึ้นไปชมทิวทัศน์อันสวยงามกว้างไกล ส่วนยามเย็นก็ไม่ควรพลาดการเดินเลียบป่าขึ้นไปชมอาทิตย์อัสดงกลางอันดามัน ซึ่งขึ้นโชควาสนาของแต่ละคนว่าในวันที่ไปจะเห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตตกน้ำทะเล ป๋อมแป๋มอย่างสวยงาม หรือเจอฟ้าปิดปกคลุมม่านเมฆหนาทึบ ชนิดที่ทำเอาหลายคนที่ตั้งใจเดินมารอชมบ่นอุบ
ปูไก่ออกหากินยามราตรี
       บนเกาะสี่ยังมีสัตว์ประจำถิ่นอย่าง “ นกชาปีไหน ” ตัวสีเขียวอมน้ำเงินมาเดินเล่นกระดุ๊ก กระดุ๊ก ให้พบเห็นอยู่เป็นประจำ รวมถึงมีอันซีนไทยแลนด์อย่าง ” ปู่ไก่ ” ปู ตัวโตสีสันสวยงามร้องเสียงคล้ายไก่ออกมาปรากฏโฉมอย่างคึกคักเป็นจำนวนมาก เมื่อย่ำยามราตรีมาเยือน ในบริเวณผืนป่าห่างจากที่ทำการอุทยานฯไปไม่เท่าไหร่ ซึ่งพวกมันจะพร้อมใจกันออกจากรู(บ้านของมัน)มาหากิน และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวไปซุ่มส่องดูมันใช้ชีวิตกันแบบใครตาดีได้ ตาร้ายอด
น้ำทะเลเกาะแปดใสแจ๋วจนมองเห็นถึงสีสันใต้น้ำ
        3… 
      
        “ สิมิลัน ” ไม่เพียงเป็นชื่อของหมู่เกาะที่ หมายถึงเกาะทั้ง 9 เท่านั้น หากแต่ยังเป็นชื่อเกาะที่ใหญ่ที่สุดสำคัญที่สุด และโดดเด่นที่สุดในหมู่เกาะแห่งนี้ นั่นก็คือเกาะสิมิลันหรือเกาะแปดอันลือลั่น
      
       เกาะแปด เป็นเกาะบังคับที่ใครเมื่อมาเที่ยวหมู่เกาะสิมิลันแล้วหากไม่ได้ไปสัมผัสน้ำ ทะเลเกาะแปดก็เหมือนกับว่ายังมาไม่ถึงสิมิลัน
      
       บนเกาะแปดชวนเพริศแพร้วไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามพิสุทธิ์ ที่บริเวณหน้าเกาะมีหาดทรายละเอียดขาวเนียนราวกับแป้งผัดหน้าสาว ซึ่งหากว่าทรายที่นี่สามารถผัดหน้าสาวได้สวยแจ่มจริงป่านนี้ทรายที่นี่คง ถูกลักขโมยไปหมดเกลี้ยงแล้ว
อีกมุมหนึ่งของหินเรือใบ
       หาด ทรายเกาะแปดมีลักษณะเป็นหาดกว้างและโค้งยาวคล้ายเกือกม้า มีน้ำทะเลใสแจ๋ว ยามต้องแสงแดดจะส่องประกายระยิบพริบพราย ส่วนรอบๆบริเวณนั้นก็สมบูรณ์ไปด้วยกองหิน แนวปะการัง และปลาสวยๆงามๆมากมาย และที่นี่ในการไปเที่ยวหนล่าสุดผมก็ได้พบกับเจ้าเต่าทะเลอีกแล้วครับทั่น แถมยังแหวกว่ายเล่นน้ำทะเลให้ชมกันถึง 2 ตัวเลยทีเดียว
      
       ความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อีกประการของเกาะแปดก็คือ ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ให้เกาะแห่งนี้มีหินรูปร่างประหลาดเป็นดังประติมากรรม ธรรมชาติปรากฏอยู่ทั่วไป โดยมีหินรูปร่างแปลกๆไม่มีชื่อเป็นหินพระอันดับ และมีหินพระรองเป็น หินรองเท้าบู้ท" หรือ หินโดนัลท์ดัก" ที่ตั้งตระหง่านโชว์ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอยู่ทางด้านทิศเหนือของเกาะ ส่วนหินพระเอกของเกาะนั้นก็คือ “ หินเรือใบ ที่ถือเป็นไฮไลท์ประจำเกาะและเป็นดังสัญลักษณ์ของหมู่เกาะแห่งนี้
เวิ้งอ่าวเกาะแปด เมื่อมองลงมาจากจุดชมวิวหินเรือใบ
       หิน เรือใบ เป็นหินก้อนโตลักษณะคล้ายหมวกใบใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนผาหินริมหาดแบบชวน ทึ่ง เพราะมันดูเหมือนจะตกแต่ไม่ตก จนหลายๆคนอดสงสัยไม่ได้ว่ามันตั้งอยู่ได้อย่างไร
      
       บนที่ตั้งหินเรือใบ ถือเป็นจุดชมวิวสำคัญแห่งสิมิลัน ใครที่ไปเยือนเกาะนี้แล้วพอมีกำลังวังชา ไม่ควรพลาดการเดินลุยผาหินขึ้นไปบนจุดชมวิวหินเรือใบด้วยประการทั้งปวง ซึ่งเมื่อผมลงทุนลงแรงปีนป่ายอย่างสมบุกสมบันขึ้นไปถึงบนนั้นเป็นที่เรียบ ร้อย บรรยากาศที่พานพบมันทำให้ความเหน็ดเหนื่อยที่เดินลุยขึ้นมาหายเป็นปลิดทิ้ง
      
       บนจุดชมวิวหินเรือใบนอกจากมีสายลมลมเย็นๆพัดพลิ้วปะทะร่างกายคลาย ร้อนให้ชุ่มชื่นชูใจแล้ว วิวทิวทัศน์บนนี้ยังน่าตื่นตาตื่นใจ ดูสวยงามไปด้วยหาดยาวขาวเนียนทอดตัวโค้งรับไปกับท้องทะเลกว้างไกล อีกทั้งยังสามารถมองเห็นถึงความแตกต่างของสีน้ำทะเลช่วงตื้นกับช่วงลึกอย่าง ชัดเจน ช่วงน้ำลึกไกลชายฝั่งออกไปน้ำทะเลจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม ครั้นพอถึงช่วงใกล้ชายฝั่งสีน้ำทะเลจะไล่โทนเข้ามาเป็นน้ำเงินอ่อน ฟ้า ไปจนถึงเขียวอมฟ้าจางๆในช่วงน้ำตื้น
      
        นับเป็นความงามที่ธรรมชาติบรรจงสรรค์สร้างให้ชนิดที่ไม่มีจิตรกรเอกคนใดในจักรวาลสร้างสรรค์ได้
เต่าทะเล 2 ตัวแหวกว่ายอวดโฉมที่เกาะแปด
        4… 
      
       “พี่ มีทะเลที่ไหนแนะนำบ้าง หนูว่าจะลาพักร้อนไปเที่ยวช่วงเมษานี้” น้องคนหนึ่งถามผมมา
      
       “สิมิลัน” ผมตอบเธอในทันทีอย่างไม่เวิ่นเว้อลังเล
      
       เพราะสำหรับผมแล้ว สิมิลันคือเกาะสวรรค์ในดวงใจที่ไปเที่ยวกี่ทีก็ไม่มีเบื่อเลยสักครั้ง...
        

ภาพตะปู

ภาพเหลือเชื่อ จากจิตรกร ตอกตะปู





















แพ้เกลือ

โรคไหนๆ ก็แพ้เกลือ/ มีดีมาฝาก

 

โรคไหนๆ ก็แพ้เกลือ 
เชื่อไหมว่าเรามียาดีประจำบ้านกันทุกคน ก็เกลือที่อยู่ในครัวนี่เอง...

1. ไอเพราะเป็นหวัด
แค่เอาน้ำเปล่า 1 ถ้วย มาเหยาะเกลือลงไป 1 ช้อนชา คนเบาๆ จนกว่าเกลือจะละลาย แล้วใช้บ้วนปากกลั้วคอหลายๆ ครั้ง ความเค็มจะเข้าไปละลายเสมหะในลำคอ ทีนี้ก็ไม่ต้องไอให้คนข้างๆ รำคาญแล้ว

2. มึนหัว สมองไม่แล่น
สาวทำงานที่เจอแบบนี้อย่ารอช้า รีบรองน้ำอุ่นให้เต็มถัง หยอดเกลือลงไป 2-3 ช้อนชา แล้วเอามาอาบ รับรองว่าสมองจะโล่งคิดงานได้ปรู๊ดปร๊าด เพราะเกลือช่วยกระตุ้นให้เลือดลงไหลเวียนดี มีเลือดไปหล่อเลี้ยงสมอง

3. เร่งให้อาเจียน
ถ้าบังเอิญกินสารพิษเข้าไป หรืออึดอัดอาหารไม่ย่อย จนต้องทำให้อาเจียนออกมา ให้ดื่มน้ำเกลือเข้มข้นแก้วใหญ่ๆ ไม่นานจะได้อาเจียนสมใจ

4. คัดจมูก
จะแค่คัดจมูกน้ำมูกไหล หรือลุกลามจนกลายเป็นโรคจมูกอักเสบก็ตาม ให้ใช้น้ำเกลือเจือจางหยอดเข้าไปในรูจมูกทั้งสองข้าง เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคในโพรงจมูก จะได้หยุดซี้ดซ้าดปาดน้ำมูกได้เสียที

5. คันตามผิวหนัง
ทาบริเวณที่คันด้วยน้ำเกลือ เชื้อราบริเวณนั้นจะสิ้นฤทธิ์

6. โรคตาแดง
โรคนี้มีเชื้อโรคเป็นตัวการอยู่เบื้องหลัง แต่สามารถปฐมพยายาบาลตัวเองก่อนถึงมือหมอได้ง่ายๆ ด้วยการเอาผ้าขนหนูสะอาดๆ (ถ้าต้มฆ่าเชื้อโรคก่อนได้ยิ่งดี) จุ่มน้ำเกลือแล้วเอามาเช็ดตา อาจจะแสบบ้างแต่นั่นล่ะคือยาดี หลังจากที่เกลือเข้าไปฆ่าเชื้อโรคในตาแล้ว ก็ล้างตาหลายๆ ครั้งด้วยน้ำสะอาด อาการบวมแดงมีขี้ตาของคุณจะทุเลาลง

7. แผลยุงกัด
ถ้าใครถูกเจ้ายุงตัวร้ายมาขอบริจาคเลือดไป แถมยังทิ้งรอยแผลไว้เป็นที่ระลึก อย่ามัวแต่เกาให้เสียลุคส์สาวงาม รีบๆ ใช้น้ำเกลือทาที่รอยแผล ไม่นานความคันจะหายไป และรอยบวมก็จะยุบเร็วด้วย

ยายยิ้ม

อย่างน้อยให้ได้เท่ายายนะ ข้อคิดดี ๆ จาก ยายยิ้ม

คงยากสำหรับคนสมัยนี้ที่จะทำให้ได้เท่ายาย คนเราตัดกิเลสไม่หมด หรอก แต่พยายามทำความดีไว้เถอะนะ เพื่อน ๆ มนุษย์ทั้งหลาย 
1

2

3


ยายยิ้ม หญิงร่างเล็ก หลังงุ้ม ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสมชื่อ อาศัยในบ้านไม้ที่เกือบเสร็จท่ามกลางป่าเขา จ.พิษณุโลก  อยู่ลำพังอย่างเดียวดาย ห่างไกลผู้คนและเงียบสงัด

เมื่อ 20 ปี ก่อน ยายมีบ้านอยู่ที่อำเภอพรหมพิราม พร้อมลูกหลาน ตอนนั้นลูกชายคนเล็กตั้งใจจะมาบุกเบิกทำมาหากินบริเวณที่อยู่ปัจจุบัน แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้ง ความไกล ไข้ป่า และความลำบาก ส่งผลให้ลูกชายของยายเลือกที่จะไปขับรถแท๊กซี่ใน กทม.

และไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ และการไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรืออื่นๆ ยายยิ้มจึงตัดสินครั้งสำคัญ อาศัยอยู่ที่บ้านในป่าผืนนั้น เป็นต้นมา

ลูกหลานขอร้องให้ยายกลับมาอยู่บ้านแต่ยายไม่กลับ ลูกหลานจึงได้แต่มาเยี่ยมยายเป็นระยะรวมถึงการนำเสื้อผ้าผ้าห่ม ข้าวสารอาหารแห้งมาให้ยาย ลูกชายคนที่ยังอยู่ในอำเภอพรหมพิรามบอกว่า "แม่เขาจะบอกว่าไม่ต้องเอามาให้มากนะ ในชีวิตเขา แม่เขาไม่เคยอยากได้อะไรเลย เคยถามเขาก็บอกว่า เขาพอแล้ว สมัยยังเด็กบ้านเราจนกันมาก พ่อก็ตายตอนที่เรายังเล็ก ๆ แต่แม่คนเดียวก็หา เลี้ยงลูกได้ มานึกดูแกต้องทำงานหนักมาก แม่ถึงเน้นสอนให้เข้มแข็ง หนักเอาเบาสู้ไม่เลือกงาน"

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาท่ามกลางขุนเขา ยายไม่มีนาฬิกา แต่ทุกเวลาล้วนมีคุณค่า การมีชีวิตอยู่ของยายหมดไปกับการปลูกต้นไม้ ทำฝายเล็ก ๆ ที่ยายได้อาศัยในยามหน้าแล้งและยังเป็นสายธาร หล่อเลี้ยงบรรดาสัตว์และต้นไม้บนผืนแผ่นดินนี้ และตั้งใจถวายในหลวงและพระราชินี ยายรักในหลวงและพระราชินีมาก

กิจวัตรประจำวัน ตื่นแต่เช้า จุดธูปไหว้พระ เก็บมุ้ง กระย่องกระแย่งมาจุดฟืน หุงข้าว ตักข้าวสุกแรกเก็บไว้ ตักข้าวกินกับน้ำพริก หรือ ปลาแห้งที่เก็บไว้ ลงมากวาดลานบ้าน ซักผ้า หาบน้ำที่ลำห้วย ออกไปหาฟืนหาไม้ มาเก็บไว้ ก่อนจะคดข้าวใส่กล่อง น้ำพริก ใส่ย่าม สวมที่ขาดวิ่น ใช้พร้าแทนไม้เท้าเวลาเดินข้ามห้วย ข้ามหนอง เข้าไปในป่าลึก ผ่านฝายเล็กๆ หรือคันนาที่ยายทำไว้ 11 ฝาย เป็นคันดินที่ยายใช้ "จอบกับใจ" ค่อยๆขุดขึ้นมา กลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆกักเก็บน้ำ พอให้สัตว์เล็กได้มาอาศัย ต้นไม้ชุ่มชื่น ระหว่างนั้นก็เอาข้าวมาโปรยให้สัตว์ ในแอ่งดินกันทำคันดินนี้เสร็จ ก็เข้าไปลึกเรื่อยๆ ที่ละฝาย ทีละฝาย เวลาแต่ละวันผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ เหนื่อยก็พัก แล้วก็เดิน กลับบ้าน ชีวิตยาย เป็นไปอย่างเรียบง่าย

ทุก ๆ วันพระ ยายจะเดินลงมาจากเขา ด้วยระยะทางเกือบ 8 กิโล บวกกับวัยชราของยาย จึงทำให้ยายใช้เวลาใน การเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรัทธาของยายเสื่อมถอยลง ลำพังคนหนุ่มสาว จะให้เดินขึ้นลงเขา สัก 7-8 กิโลเมตร ยังเล่นเอาเหงื่อตก แต่สำหรับยายยิ้มถือเป็นกิจวัตสม่ำเสมอทุกวันโกน วันพระเพราะไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง ยายก็ต้องไปถึงวัดไม่เคยขาด

ระยะทางไกลที่เต็มไปด้วยหล่มโคลน ถนนเป็นร่อง ขรุขระ ยายยิ้ม จะออกเดินเท้าจากบ้านตั้งแต่เช้ามืด เหนื่อยก็พัก ถึงวัดกี่โมงไม่รู้ รู้แต่เมื่อถึงวัดก็เปลี่ยนชุดชาว สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ทำความสะอาดวัด ทำบุญ เมื่อกลับจากวัด แกก็จะมานับวันหลังจากนั้นไปถึงวันโกนวันพระอีกที ก่อนที่เดินกลับบ้านในป่า ยายเลือกใช้ชีวิตเพียงลำพัง และใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอย่างมีความสุขอีกครั้ง

เราขาดในสิ่งที่ยายยิ้มมี นั่นคือ ความพอเพียง ความศรัทธา ความไม่โลภ เรามีในสิ่งที่ยายขาด นั่นคือ ความทุกข์

พิธีกร : ข้าวสารอาหารแห้งเอามาจากไหน
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ เขาเอามาให้ก็ต้องกิน เขาจะได้บุญและก็ต้องกินอย่างประหยัดๆ ไม่ฟุ่มเฟือย

พิธีกร : ฝนตกเปียกไหม
ยายยิ้ม : ก็หลบๆเอา ไม่ลำบาก อย่าคิดว่ามันลำบาก

พิธีกร : เสื้อผ้า ขาดแล้วยังใส่อยู่
ยายยิ้ม : ลูกหลานเข้าเอามาให้ ใส่ไว้เขาจะได้บุญ

พิธีกร : ลูกหลานอยากให้ไปอยู่ด้วยกัน
ยายยิ้ม : ไม่ใช่ว่าจะไม่พึ่ง แต่ให้หมดค่าก่อนค่อยพึ่ง ป่วยไม่สบายไม่มีแรงค่อยพึ่งเขา

พิธีกร : ทำฝายไปให้ใคร
ยายยิ้ม : ให้ในหลวงพระราชินี ท่านเป็นถึงเจ้าแผ่นดินยังทำงาน เราก็ต้องทำให้ท่านบ้าง..ส่วนสิ่งที่ทำในหลวงไม่เห็น ผีสางเทวดาก็เห็น

พิธีกร : ได้ประโยชน์อะไรจากฝาย
ยายยิ้ม : ในหลวงบอกมีฝายมีน้ำ มีป่า มีปลาเล็กเป็นอาหารนกอีกทีรวมถึงได้ใช้ยามหน้าแล้ง

พิธีกร : กลัวล้มไหมเวลาเดินไปไหน
ยายยิ้ม : กลัวแต่ก็ต้องทำ ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เหนื่อยไหมที่ทำมา
ยายยิ้ม : เหนื่อย แต่ทำแล้วมีความสุข

พิธีกร : เดินไปวัดลำบาก เหนื่อยไหม
ยายยิ้ม : เหนื่อยก็พัก แล้วเดินต่อ ทางไปสวรรค์มันรก ทางไปนรกมันเรียบ เห็นพระก็หายเหนื่อย

พิธีกร : สรุปว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
ยายยิ้ม : คนอื่นว่าลำบากแต่ถ้าเราคิดว่ามันเป็นสวรรค์มันก็ไม่ลำบาก

พิธีกร : ยายมาทำบุญทุกวันพระไหม
ชาวบ้าน : ยายมาประจำแหละ ยายแกชอบทำบุญ ได้เบี้ยเดือน 500 แกยังทำบุญหมดเลย

พระ (กางมุ้งให้ยายนอนในศาลาวัด) : ไม่บาปหรอกยาย ช่วยๆกัน ดูแลกัน
ยาย (นั่งยิ้มด้วยความจำนน)
ยาย เอาเงินที่เก็บๆรวมถึงเงินที่ชาวบ้านให้ไว้มาทำบุญ
ยาย อวยพรให้และภาวนาให้คนที่ทำบุญด้วย
พิธีกร : ยายรู้จักเขาเหรอ
ยายยิ้ม : (ยิ้ม) ไม่รู้จักหรอก เห็นบอกว่าจะบวชก็เลยทำบุญ ให้ยายทำบุญนะ (สงสัยคงจะเป็นเงินที่ทางรายการให้)
พิธีกร : ทำเถอะยาย ไม่ว่าอะไรหรอก

พิธีกร : ยายมีของแค่นี้เหรอ (หยิบกระเป๋าใบเล็กที่บรรจุเสื้อผ้า หยูกยาที่จำเป็น บัตรประชาชน)
ยายยิ้ม : แค่นี้แหละเตรียมไว้ เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา เอาไปใบเดียว คนอื่นจะได้ไม่ลำบากหา

พิธีกร : จะไม่เป็นการแช่งตัวเองหรือ
ยายยิ้ม : ยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องพึ่งตัวเอง ยิ่งต้องเตรียมตัว

พิธีกร : เวลายายไปตัดไม้ไผ่ ทำฝายไม่เกินกำลังเหรอ เอาแรงมาจากไหน
ยายยิ้ม : หัวเราะเบาๆแล้วตอบว่า มันเกินกำลังอยู่แล้วล่ะ แต่ต้องมีความพยายามยายบอกวันนี้หมดแรง นอนพัก พรุ่งนี้แรงก็มาใหม่

พิธีกร : ยายยังขาดอะไรอีกในชีวิต
ยายยิ้ม : ยายยิ้มสมกับชื่อ แล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า ขาดความทุกข์

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หลวงตา

พระธาตุของหลวงตามหาบัว



ประวัติหลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน 

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
ท่าน เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดปฏิปทาของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ยังทรงธาตุทรงขันธ์เป็นที่พึ่ง ที่อาศัยของเหล่าศิษย์กรรมฐาน ทั้งบรรพชิต และฆราวาส ปฏิปทาขององค์หลวงตาถอดแบบมาจาก ปฏิปทาของหลวงปู่มั่น โดยตรง ท่านสามารถชี้แนะแนวทางให้กับ เพื่อนสหธรรมิกให้ได้บรรลุผ่านในปัญหาของการภาวนาเป็นจำนวน หลายรูปด้วยกัน ท่านมีศิษยานุศิษย์ฝ่ายบรรพชิตที่ได้กลายเป็น พ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์หลวงตา ได้เป็นผู้นำในการทำผ้าป่าช่วยชาติ แก้วิกฤตการเงินภายในประเทศ ซึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่เคยมีมาก่อน ปัจจุบัันองค์หลวงตา ยังทรงธาตุขันธ์อยู่ เศษกายหรือสิ่งใด ๆ ก็ตามที่องค์ท่านได้บริโภค ล้วนแต่ได้กลายเป็นพระธาตุ เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของพุทธศาสนิกชน เป็นจำนวนมาก


พระธาตุอันเกิดจากเส้นเกศาขององค์หลวงตา มีลักษณะเป็นเกร็ดเล็ก ๆ สีแดง

เส้นเกศาธาตุขององค์หลวงตามีลักษณะใสประดุจใยแก้ว

พระ ธาตุชุดนี้เป็นพระธาตุที่แปรสภาพจากชานหมากขององค์หลวงตา ซึ่งเจ้าของพระธาตุ ได้เก็บชานหมากขององค์หลวงตามาไว้บูชาตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ปัจจุบันชานหมากเหล่านั้นได้แปรสภาพเป็นพระธาตุโดยสมบูรณ์แบบ มีสีสัน พรรณะ เหมือนพระบรมสารีริกธาตุ เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

พระ ธาตุชานหมากขององค์หลวงตาที่ผู้มีจิตศรัทธาได้มอบถวายเข้าพิพิธภัณฑ์พระธาตุ บูรพาจารย์วัดสันติธรรม จำนวน ๑๒ องค์ ส่วนองค์ที่เป็นเกร็ดสีแดง เป็นพระธาตุเกศา



ภาพขยายพระธาตุชานหมากองค์เล็กมีลักษณะใสเป็นปริมณฑล ขนาดเท่าเมล็ดผักกาด


ณ วิหารบูรพาจารย์ วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ทีมงานเว็ปไซต์ ได้ไปนมัสการหลายครั้ง นับตั้งแต่เริ่มสร้างเป็นต้นมา และได้สังเกตที่เจดีย์แก้วบรรจุนขาธาตุ (เล็บ) ขององค์หลวงตา พบว่ามีนขาธาตุองค์หนึ่งได้แปรสภาพจากเล็บ กลายเป็นพระธาตุสมบูรณ์แล้ว จึงได้พยายามถ่ายภาพมาให้ชม

เจดีย์บรรจุนขาธาตุ ประดิษฐานหน้าหุ่นขี้ผึ้นรูปเหมือนขององค์หลวงตามหาบัว

นขาธาตุขององค์หลวงตาแปรสภาพเป็นพระธาตุพรรณเหลืองอำพัน โดยสมบูรณ์
ถ่ายภาพเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
เพื่อ ความหลากหลายทางข้อมูล จึงขออนุญาตนำข้อมูลจาก http://www.doisaengdham.com/article_detail.php?id=137 มานำเสนอในที่นี้ด้วยเพื่อให้เครื่องเจริญศรัทธาของท่านผู้อ่าน
ขอ เล่าเกร็ดที่น่าสนใจ เนื่องจากผู้เขียนได้มีโอกาสพบเห็นเหตุการณ์ที่น่าแปลกใจ  คือเส้นเกศาของ หลวงตามหาบัวที่บรรจุในผะอบ เกิดเม็ดสีดำเล็ก ๆ จำนวนมาก มีลักษณะเป็นเงามันสวยงามระยิบระยับ ส่วนเกศานั้นไม่พบ  ผู้เป็นเจ้าของได้เล่าว่าเกศาของหลวงตานี้ได้เก็บมานานนับ ๑๐ ปีแล้ว  ซึ่งในขณะนั้นหลวงตาท่านยังไม่สูงวัยมากนัก  ยังมีเส้นผมสีดำ   หลังจากนั้น ปลายเดือนเมษายน ๒๕๕๑ ได้ไปดูแลหิ้งพระ ก็พบผะอบปรากฏลักษณะดังกล่าว

จากภาพ ผะอบที่บรรจุเกศาหลวงตามหาบัว ไม่ปรากฏเส้นเกศา  แต่มีวัตถุลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ สีดำเป็นมันเงาสวยงาม

เมื่อ สำรวจดู พบว่าที่ก้นผะอบ จะมีเส้นเกศาเล็ก ๆ ปรากฏอยู่  และมีลักษณะสั้นลงกว่าเดิมประมาณ ๕-๖ ส่วน  ภาพขยาย ๒๐๐ เท่า จะเห็นความมันเงาสวยงามคล้ายลักษณะของพระธาตุอย่างชัดเจน เป็นไปได้ว่า เส้นเกศาของท่านได้กลายเป็นพระธาตุ เช่นของครูบาอาจารย์บางองค์ที่เคยปรากฎ
www.paisalvision.com

พาไปกินไอศครีมมนุษย์อวกาศdกันจร้า (Astronaut Ice Cream)

สวัสดีค่ะ คราวนี้ขอพูดถึงไอศครีมมนุษย์อวกาศ (Astronaut Ice Cream) คิดว่าน่าสนใจดีเลยอยากแบ่งปันกับเพื่อนๆค่ะ  ส่วนตัวแล้ว เคยสงสัยมาตั้งแต่เด็กว่าคนที่อยู่ในอวกาศนานๆ เค้าอยู่อย่่างไีีรในสภาพไร้น้ำหนัก 
เค้ากินอะไรกัีน และรสชาติของอาหารจะเป็นแบบไหน ได้ลองชิมแล้วก็น่าสนใจดีค่ะ 

 

มีโอกาสได้ไปที่ American Museum of Natural History ในนิวยอร์ค 
( http://www.amnh.org) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่มากทีเดียวค่ะ จัดแสดงเกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต ฟอสซิล จากทวีปต่างๆ มีโีรงหนัง IMAX ให้ชมโชว์เกี่ยวกับอวกาศด้วย ที่เห็นนี่เป็นโครงไดโนเสาร์สูงตระหง่าน จนผู้เข้าชมดูตัวเล็กไปถนัด  



พิพิธภัณฑ์ จะมีส่วนที่เรียกว่า Hall of Universe จัดแสดงข้อมูลน่ารู้้เกี่ยวกับจักรวาลของเรา ที่เห็นนี่เป็น ลานแสดงข้อมูลเกี่ยวกับแผนที่ดาว และสัญญา๊ณต่างๆที่เครื่องมือเราส่งไปยังท้องฟ้า 



ระบบ สุริยะ (Solar System) ระบบสุริยะของเรามีดวงอาทิตย์เเป็นศูนย์กลาง โดยมีดาวเคราะห์ิอีก 9 ดวง(รวมโลกของเราด้วย) โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวเคราะเรียงตามลำดับจากในสุดคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร 
ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน ดาวพลูโต 

สำหรับ ดวงจันทร์นั้นถือว่าเป็นดาวบริวารที่โึึคจรรอบดาวเคราะห์ิอีกที จึงไม่นับว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มดาวเคราะห์ ในจักรวาลนี้ไม่ได้มีแต่ระบบสุริยะของเราเท่านั้น แต่ยังมีระบบสุริยะอีกเป็นล้านๆที่อยู่ห่างออกไป ตามหลักสถิติจึงมีความเป็นไปได้ที่จะพบสิ่งมีชีวิตในระบบสุริยะอื่น 

มนุษย์ต่างดาว? ซักวันเราอาจจะได้เจอค่ะ อิอิ  

 

อาึคารภายในสูงใหญ่มาก 



หินต่างๆมากมายหลากสี 

 

ในร้านขายของที่ระลึกพิพิธภัณฑ์ มีซุ้มขายไอศครีมมนุษย์อวกาศ หรือ Astronaut ice cream 



มี ให้เลือก 4 รส ราึคาห่อละ $4.25 จัดว่าเป็นสินค้าขายดีมากค่ะ คนที่มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์มักจะซื้อเป็นของฝาก เำพราะเป็นของแปลก ใครๆก็อยากเห็นว่าไอศครีมจากอวกาศเป็นอย่างไร 

 

มาดูกันชัดๆกับห่อไิอศครีม ให้ความรู้สึกเป็นแนววิืทยาศาสตร์มากๆ  

 

ชิ้น นี้เป็น Chocolate ice cream with chocolate chips เป็นไฺือศครีมรสชอคโิกแลตและมีชิ้นชอคโิกแลตชิพผสมอยู่ในไฺือศครีม เนื่องจากไม่มีน้ำในไฺือศครีมเลยทำให้เปราะ แตกหักง่าย วิธีการผลิตไอศครีมมนุษย์อวกาศใช้กระบวนการที่เรียกว่า "Freeze-dried" 
หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า "Lyophilization" 

โดยมีขั้นตอนคือ 

(1) แช่แข็งอาหารจนโมเลกุลของน้ำในอาหารกลายเป็นน้ำแข็ง 
(2) นำอาหารมาอยู่ในท่อดูดอากาศ (เหมือนเครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่) 
(3) ลดความดันลงจนทำให้น้ำแข็งกลายเป็นไิิอน้ำทันทีโดยไม่ละลายกลายเป็นน้ำก่อน 
(ขั้นตอนนี้สสารจะเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นก็าซโดยไม่ผ่านการเป็นของเหลว) 
(4) ใช้เครื่องมือดูดไอน้ำออกจากอาหารจนไม่มีอนุภาคของน้ำเหลืออยู่ 



Freeze-dried เป็นเทคโนโลยีุการถนอมอาหารที่ก้่าวหน้าที่สุดในขณะนี้ 
จุดประสงค์หลักคือป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเติบโตได้ในอาหาร 

 

สำหรับ รสชาติีีนั้น มีกลิ่นรสหอมหวานของชอคโิกแลต และความหอมมันของนม เหมือนไิอศครีมปกติทุกอย่าง อย่างเดียวที่ไม่เหมือนคือ เนื้อสัมผัสที่กรอบ ร่วน 
คล้ายๆกับกินเมอแรงค์ หรือขนมไข่ขาวอบชิ้นใหญค่ะ 

 

อัน นี้ีรส Mint chocolate chips ไม่แตกเป็นชิ้นๆเหมือนอันก่อนหน้านี้ รสมิ้นท์หอมเย็นสดชื่น คิดว่ารสชาติตอนก่ิอนเอาไป Freeze-dried คงอร่อยมากทีเดียวค่ะ  

 

Sandwich Ice Cream เป็นไฺือศครีมรสวนิลลาประกบด้วยคุกกี้รสชอคโิกแลต รสชาติอร่อยใช้ได้เลยค่ะ เหมือนกินนมอัดเม็ดจิตรลดากันคุ้กกี้ กรอบ หอมมัน อร่อย  

 

นอก จากไฺือศครีมแล้ว Space food ยังมีผลไม้ ของว่าง หรือแม้แต่พิซซ่าที่นำมา Freeze-dried อันนี้เป็น Freeze-dried strawberry สตอเบอร์รี่สีแดงสด ผงสีแดงๆนั่นถ้าออกสีส้มๆอีกนิดจะ้เหมือนฝุ่นผงจากดาวอังคารเลยทีเดียวค่ะ 

 

ข้อมูลทางโุภชนาการของ Freeze-dried strawberry 

 


Space food stick เป็น Protein bar ซึ่งอัดแน่นด้วยโปรตีนจากถั่วเหลือง ที่ NASA ออกแบบมาให้นักบินอวกาศกินระหว่างมื้ออาหาร เพื่อไม่ให้รู้สีกเหนื่อยเกินไปค่ะ 

จะไม่มี Facebook.com แล้ว?

มาร์ค ซูเคอร์เบิร์ก ( Mark Zuckerberg ) ประกาศ ว่า เค้าจะทำการปิด Facebook ลงในเดือน มีนาคม 2011 ที่จะถึงนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า เค้ารู้สึกไม่ดี และเครียด กับ เวปFacebook.com 
 
Mark ZuckerBerg 
Zuckerberg 
กล่าวว่า เค้าไม่สามารถควบคุมเวป Facebook ได้ ในงานแถลงข่าว ณ officeที่ Palo Al to.   เค้าได้กล่าวอีกว่า ความเครียดที่เกิดจากการบริหารบริษัท นี้ ได้ค่อยๆทำลายชีวิตเค้าลง และเค้าอยากจะ จบ เวป Facebook ในเร็ววันนี้. 
Zuckerberg 
ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากวันที่ 15 มีนาคม 2011 ที่จะถึงนี้ ผู้ที่เป็นเจ้าของบัญชี facebook ต่างๆ จะไม่สามารถเข้า บัญชีของตัวเองได้ 

facebook logo 

นอกจากนี้ รองประธาน ฝ่ายเทคนิคของ 
Facebook Mr.Avrat Humarthi ได้กล่าวเพิ่มเติมในงานแถลงข่าวว่า หลังจากที่จะมีการปิดตัว Website ในวันที่ 15 มีนาคม 2011 นี้ หากว่าเจ้าของบัญชี Facebook แต่ละคน อยากจะสามารถเก็บภาพของตัว เองย่อมสามารถทำได้ โดยการ Save ลงในเครื่องของตัวเองให้หมด เพราะเมื่อ Facebook ได้ปิดตัวลงแล้ว ท่านเหล่านั้น จะไม่สามารถนำภาพของตัวเองกลับมาได้อีก. 
Zuckerberg 
ได้กล่าวเพิ่มเติมจากการสนทนา ทางโทรศัพท์ กับ นักข่าวว่า เค้าไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ และหาก Facebook        ปิดตัวลง จะเป็นการดีกว่าเสียอีกถ้าผู้คนได้ออกไปใช้ชีวิต จริงๆ ของตัวเอง.   มากไปกว่านั้น เค้ายังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา แต่เขาต้องการชีวิตเขากลับคืนมา 
News source: http://weeklyworldnews.com


--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ล่า สุด มีข้อมูลยืนยันอย่างเป็นทางการจาก Facebook ว่า ข่าวลือดังกล่าวเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่มีการปิดตัว facebook ในวันที่ 15 มีนาคม 2554  

มาริโอ้ & ชมพู่ อารยา เซตนี้แร๊งงง





















เครดิตภาพจาก clubchom และนิตยสารดิฉัน 

บูชาแล้ว รวย ของศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อ พร้อมเคล็ดลับ


1. แมวกวักญี่ปุ่น 
มี ลักษณะความ เชื่อคล้ายกับนางกวักของไทย ชาวญี่ปุ่นจะเรียกแมวกวักว่า "มาเนะคิเนะโกะ" แปลว่า แมวที่ทำหน้าที่เชื้อเชิญเงินทอง โชคลาภ บูชาเพื่อความร่ำรวยและสมปรารถนา

เคล็ดวิธีบูชา: ให้ ตั้งไว้ในจุดที่ดีที่สุดของบ้าน เช่น ห้องรับแขกหรือบริเวณโต๊ะทำงาน และหมั่นเช็ดทำความสะอาดตลอดเวลา ดูแลอย่างใกล้ชิด แมวกวักก็จะนำความสุขและโชคลาภมาสู่คุณและครอบครัว

Tip: การ เลือกซื้อแมวกวัก ถ้าเลือกแมวกวักมือซ้าย หมายถึงให้เรียกลูกค้าเยอะๆ และยิ่งกวักสูงมากแค่ไหนก็เรียกคนได้มากเท่านั้น แต่ถ้ากวักมือขวา เป็นการเรียกเงิน เรียกทอง และความโชคดี




2. ปี่เซียะ ดึงดูดเงินทอง
ถือ เป็น สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความนิยมทั้งในเมือง ไทยและในประเทศต่างๆ มากที่สุดในปัจจุบันนี้ ใครมีไว้บูชาจะทำให้มีแต่โชคลาภ ขณะเดียวกันก็ป้องกันสิ่งชั่วร้าย และเป็นสัตว์มงคลที่ไม่มีรูทวาร จึงกินอย่างเดียว ไม่มีทางถ่ายออกเป็นเคล็ดวิชาหมายถึงเงินเข้าแล้วไม่มีออก ทรัพย์จึงเพิ่มพูนสถานเดียว
เคล็ดวิธีบูชา : ผู้ บูชาปี่เซียะควรมีจิตใจแจ่มใส ร่าเริง เพราะจะส่งผลให้ปี่เซียะมีพลังกล้าแกร่ง และคึกคะนอง ส่งผลให้มีโชคลาภ เก็บเงินอยู่ มีดอกผลเป็นกอบเป็นกำ
Tip : เจ้า ของควรเอาใจใส่ด้วยวิธีการทำความสะอาดพูดคุย ด้วยบ่อยๆ ลูบหัวและลูบบั้นท้าย คล้ายสัตว์เลี้ยงดีกว่าตั้งไว้เฉยๆ ถ้าลูบที่ท้องจะทำให้สมบูรณ์พูนสุข ลูบหัวทำให้ปัญญาแจ่มใส ลูบหลังทำให้มีโชควาสนา แต่ห้ามลูบปาก เพราะจะทำให้เก็บทรัพย์ไม่อยู่


 
3. กุมารทอง บันดาลความร่ำรวย 
เป็นเครื่องรางของขลังที่คน ไทย รู้จักกันมาช้านานมีอิทธิคุณหลายทาง นิยมใช้ปกป้องคุ้มครองและให้โชคลาภแก่ผู้เป็นเจ้าของ เพื่อให้ทำมาค้าขายดี มีทรัพย์จากการเสี่ยงโชค

เคล็ดวิธีบูชา: เมื่อ นำเข้าบ้านแล้วควรตั้งชื่อให้กุมารทองเป็นการ เฉพาะก่อนจะบอกเชิญเข้า บ้าน แล้วจุดธูปบอกเจ้าที่เจ้าทางหรือศาลพระภูมิ จากนั้นก็หมั่นบอกกล่าวในสิ่งที่ปรารถนา เช่น ให้ช่วยทำมาค้าขาย เฝ้าทรัพย์สิน ขอหวย ฯลฯ จะสัมฤทธิ์ผลทุกประการ ส่วนการเซ่นไหว้นั้นให้ใช้ขนม ผลไม้ และน้ำแดง

Tip: ห้ามวางกุมารทองไปทางทิศตะวันตก หรือปลายเท้าที่เรานอน หรือใต้บันไดบ้าน


 
4. นกคุ้ม มารุมเรียกทรัพย์ 
เป็นของขลังใช้บูชาเพื่อคุ้ม ครอง ให้คลาดแคล้วจากภัยอันตรายทั้งปวง และเรียกทรัพย์ เรียกเงินทองเข้าบ้านมากๆ โดยผู้บูชาส่วนใหญ่จะเอานกคุ้มใส่พานบูชา แล้วหันหน้าออกไปทางหน้าร้าน เพื่อเรียกลูกค้าให้เข้ามาอุดหนุนซื้อสินค้า และบันดาลโชคลาภให้เจ้าของเกิดความร่ำรวย

เคล็ดวิธีบูชา : ในวันพระให้บูชาด้วยน้ำหวาน น้ำผึ้ง หรือขนมหวานต่างๆ พร้อมสวดบูชานกคุ้มฉบับย่อ โดยให้ท่องว่า "นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา"
 

5. พญาเต่า ร่ำรวยยั่งยืน มั่นคง 
เต่า ถือว่าเป็นสัตว์มงคลตามตำราฮวงจุ้ยของจีน อุปนิสัยชอบเดินหน้าอย่างเดียว ถอยหลังไม่เป็น เป็นสัญลักษณ์ของการอายุยืน ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่นคง เป็นเครื่องรางทางด้านการค้าขาย เรียกลาภและป้องกันคดีความ เหมาะสำหรับผู้ดำเนินธุรกิจค้าขาย สร้างความร่ำรวยก้าวหน้าต่อไป

เคล็ดวิธีบูชา : เมื่อ นำพญาเต่าเข้าบ้านให้จุดรูป 5 ดอก บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในบ้านให้รับรู้ ขออนุญาตนำพญาเต่ามาอยู่ในบ้านเพื่อช่วยคุ้มครองและนำโชคลาภมาให้ สถานที่บูชาให้จัดวางในพาน หรือวางบนภาชนะอื่นๆ ที่มีน้ำ โดยรินน้ำพอปริ่มๆ หรือครึ่งตัวเต่า อย่าให้จมน้ำทั้งตัว วางไว้ที่ด้านล่างของหิ้งพระ ต่ำกว่าพระพุทธรูป หรือจัดวางไว้บนตู้บนโต๊ะเก็บเงินได้ทั้งนั้น

Tip : ให้ บูชาด้วยน้ำสะอาด ถวายผักบุ้งและผักกาดขาวตามโอกาส และถ้าถวายพวงมาลัยดอกมะลิหรือกุหลาบด้วยยิ่งดี แต่มีข้อห้ามว่า ห้ามนำพญาเต่าไปงานศพ หรืองานอัปมงคลทั้งหลายเด็ดขาด


 
6. นางกวัก กวักเงิน กวักทอง 
เป็นเครื่องรางที่คนไทย รู้จัก และนิยมบูชากันมากที่สุดก็ว่าได้ พวกพ่อค้าแม่ค้ามักมีไว้บูชาบนหิ้ง โดยหันหน้าออกไปทางหน้าร้าน และมักจะตั้งนางกวักอยู่ทางขวามือของประตูบ้านเพื่อให้มือนางกวักอยู่ใกล้ ประตูที่สุด และดลบันดาลให้การค้าขายเป็นไปด้วยดี หรือที่เรียกว่าทำมาค้าขึ้น

เคล็ดวิธีบูชา : บูชา ด้วยผลไม้และอาหารคาวหวาน หรือใช้ดอกกุหลาบแดงหรือดอกมะลิบูชา จุดธูป 9 ดอก พร้อมด้วยเครื่องประดับสตรี เช่น กำไล ลูกปัด ผ้าแพรหลากสี และควรวางไว้ต่ำกว่าพระพุทธรูป และองค์เทพชั้นสูงต่างๆ หรือจะแยกหิ้งบูชาก็ได้

Tip : บูชา ทุกๆ เช้า ก่อนจะเริ่มค้าขาย หรือดำเนินธุรกิจอะไรก็ตาม เพื่อความมีสิริมงคล มีโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา การค้าดีมีกำไรงาม คล่องตัวในการทำงานเมตตามหานิยม ทำอะไรก็สำเร็จไปทุกสิ่งทุกอย่าง


 
7. ไซดักทรัพย์ ดักความรวย 
การสร้างไซดักทรัพย์ ถือเคล็ดที่ว่าไซดักปลา ย่อมหมายถึงความอิ่มหนำสำราญ หรือความมีโชคดี เป็นเครื่องรางในการดักทรัพย์สินเงินทองและลาภผลต่างๆ เหมาะสำหรับติดบ้านเรือน นอกจากจะเป็นเครื่องรางที่บูชาเพื่อความร่ำรวยแล้ว ยังเป็นเครื่องในการปรับฮวงจุ้ยตามศาสตร์ของจีน อีกด้วย

เคล็ดวิธีบูชา : ใช้ คาถาด้านมหาลาภ เรียกเงินเรียกทองบทใดบทหนึ่ง หรือบทที่เรานับถือท่องอยู่เป็นประจำ เช่นคาถาหัวใจเศรษฐี ท่องว่า "อุ อา กะ สะ" วันละ 3 ถึง 9 ครั้ง

Tip : การ แขวนไซต้องแขวนในที่สูง โดยหันปากไซออกไปทางหน้าร้าน เพื่อดึงดูดโชคลาภและเงินทองให้เข้ามาหา ไม่ควรหันปากไซเข้ามาหรือหันตามขวาง เพราะจะได้ผลไม่เต็มที่


 
8. ปลาตะเพียน ขยันหมั่นเพียรจนร่ำรวย 
เครื่องรางที่แฝงคติ ธรรม ล้ำลึก ในความหมายของไทย หมายถึง ความขยันหมั่นเพียรและสัญลักษณ์ของความโชคดี ส่วนในความหมายของจีน ปลาหมายถึงความมีชีวิตชีวา และโชคลาภ จะทำให้ชีวิตเจ้าของบ้านมีความกระตือรือร้น ค้าขายดี มีโชคลาภ ขยันหมั่นเพียรไม่หยุดนิ่ง

เคล็ดวิธีบูชา : ใช้ อธิษฐานบูชาสำหรับการค้าขาย การทำมาหากิน ควรจัดวางปลาตะเพียนเงิน ตะเพียนทอง ที่ผ่านพิธีกรรมปลุกเสกลงอักขระเลขยันต์แล้ว ด้วยการแขวานไว้ในที่อันถูกโฉลก บริเวณกลางเพดานหรือหน้าร้านค้า โดยหันหน้าปลาตะเพียนเงิน ตะเพียนทองเข้าหากัน

Tip : ทุก เช้าให้บูชาโดยเอาขันน้ำมนต์ยกขึ้นไปแช่ตัวปลาแล้วอธิษฐานพรตามใจปรารถนา จากนั้นก็นำน้ำมนต์ไปพรมสินค้าที่จะขาย หรือพรมไปทั่วร้านค้าหรืออธิษฐานแล้วแต่สะดวก



9. ชูชก ขอรวย ขอลาภ 
พราหมณ์เฒ่า ผู้เติมบารมีของพระเวสสันดรให้เต็มเปี่ยม ถือกันว่าเป็นเครื่องรางแห่งการขอความสำเร็จในเรื่องโชคลาภเงินทองอย่างไม่ มีขีดจำกัด

เคล็ดวิธีบูชา : โบราณ ได้พิจารณาเห็นคุณสมบัติของชูชกว่า มีเสน่ห์และมีเมตตามหานิยมสูง ขออะไรก็ได้สมใจปรารถนาทุกอย่าง ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทองข้าวของเครื่องใช้ บ้านเรือน บริวาร จึงได้สร้างเครื่องรางชูชกขึ้นมา ส่วนคาถาการบูชาก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสำนัก จะเลือกบูชาจากแห่งไหน ก็ศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนตามใจชอบ


 10. ฮก ลก ซิ่ว 
คน จีนนิยมนำ ฮก ลก ซิ่ว มาตั้งไว้ในบ้าน เพื่อให้เกิดความเป็นมงคล มีวาสนา ร่ำรวย ตามความหมายของ ฮก ลก ซิ่ว ที่ว่า ฮก คือ โชคลาภ วาสนา ลก คือ บุญบารมี และซิ่ว คือ อายุมั่นขวัญยืน

เคล็ดวิธีบูชา : ควร ตั้ง ฮก ลก ซิ่ว ให้หันหน้าออกไปทางประตู ส่วนบริเวณด้านหลังขององค์ฮก ลก ซิ่ว ควรเป็นฝาผนังไม่ควรเป็นหน้าต่าง นอกจากนี้ยังสามารถตั้งองค์ ฮก ลก ซิ่ว ไว้ในห้องรับแขก ตรงด้านหลังเก้าอี้ยาวของชุดรับแขก แต่ห้ามตั้งหลังเก้าอี้เดี่ยวของชุดรับแขก และไม่ควรนำมาตั้งไว้หน้าห้องน้ำหรือห้องครัว

Tip : การตั้ง ฮก ลก ซิ่ว ถ้าต้องการให้ค้าขายดี เกิดโชคลาภ ให้ตั้ง ฮก อยู่ตรงกลาง



11. เจ้าเงาะนำโชค 
เครื่องรางสุดขลังด้วย อิทธิฤทธิ์ เป็นที่เลื่องลือถึงความมหัศจรรย์ด้านมหาโชคมหาลาภ บันดาลความร่ำรวยให้เป็นมหาเศรษฐี มีเงินทองมากมายก่ายกอง บันดาลด้านธุรกิจ การค้า การเงิน การงาน ให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น ใครมีไว้บูชา ติดบ้าน ร้านค้า จะเจริญ ค้าขายดีมีกำไร

เคล็ดวิธีบูชา : เมื่อ เชิญเจ้าเงาะนำโชคขึ้นวางบนหิ้งบูชาซึ่งควร แยกหิ้งต่างหาก ให้จัดสิ่งของบูชาถวายใส่ให้เหมาะสม อาทิ บูชาด้วยดอกไม้แดง น้ำดื่ม น้ำผลไม้ ผลไม้ตามฤดูกาลพร้อมจุดธูป 2 ดอกถวายเครื่องสังเวย อธิษฐานขอให้เจ้าเงาะบันดาลความสุข ความรุ่งเรือง ขอให้ค้าขายดี มีกำไร ก้าวหน้าตลอดไป

Tip : ควรจุดธูปและกล่าวบูชาทุกเช้า-เย็น ส่วนสิ่งของที่ถวาย ถ้าไม่สะดวกทุกวัน จะถวาย 3 วัน 7 วัน หรือ 10 วันต่อครั้งก็ได้